นอนเยอะแต่นอนไม่เต็มอิ่มสักที อาการแบบนี้เสี่ยงโรค

นอนเยอะ เท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกเต็มอิ่มสักที ใครมีอาการแบบนี้ต้องระวังคุณอาจเสี่ยงกับการเป็นโรคนอนเกิน (Hypersomnia) โรคนี้จะมีอาการเป็นอย่างไรมาติดตามได้ในบทความนี้ค่ะ

นอนเยอะเสี่ยงเป็นโรคนอนเกิน

เคยได้ยินเรื่องของการนอนน้อยพักผ่อนไม่เพียงพอกันมาแล้ว วันนี้เราจะพามารู้จักกับโรคที่ไม่ว่าจะนอนเยอะขนาดไหนก็รู้สึกไม่เต็มอิ่มสักที แม้ว่าจะนอนมากกว่า 9 ชั่วโมงแล้วแต่ยังง่วงนอนตลอดเวลา โรคนี้เรียกว่าโรคนอนเกิน (Hypersomnia) เป็นความผิดปกติที่พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ อาการที่มักพบ เช่น มีความต้องการนอนเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน ตื่นยาก ง่วงหาวทั้งวัน หรือมีการงีบหลับระหว่างวันหลาย ๆ ครั้ง ซึ่งบางครั้งอาจเกิดขณะที่กำลังพูดคุย หรือกำลังทานอาหาร และอาจมีอาการพูดจาสับสนเมื่อถูกปลุกขึ้นมา ซึ่งอาการเช่นนี้อาจพบได้กับผู้ที่ทานยาที่มีผลข้างเคียงให้เกิดอาการง่วง หรือเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ดังนี้

สาเหตุของการ นอนเยอะ

ปัญหาการนอนเยอะแต่ไม่เต็มอิ่มสักทีที่เป็นที่มาของโรคนอนเกินมีสาเหตุมาจากอะไร
1. อดนอนบ่อย ทำให้ระบบการนอนหลับทำงานผิดปกติ
2. เวลาการนอนที่ผิดจากปกติไป ทำให้นาฬิกาชีวิตแปรปรวน หรือ Jet Lag
3. ฮอร์โมนรวมถึงสารเคมีในสมองบางชนิดทำงานไม่ปกติ
4. ขณะนอนหลับร่างกายรับออกซิเจนไม่เพียงพอเนื่องจากมีพฤติกรรมการนอนกรนและมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
5. กระบวนการทางสมองทำงานผิดปกติ หรือได้รับบาดเจ็บที่สมอง

โรคนอนเกินหรือนอนเยอะมีผลเสียอย่างไร

1. สมองเฉื่อยชา สมองล้า ไม่มีชีวิตชีวา
2. พูดจาไม่รู้เรื่อง วกวน มึนงง ความจำไม่ดี
3. เชื่องช้าไม่อยากขยับตัว ส่งผลให้กระดูกพรุน หรือข้อเสื่อมได้
4. อ้วนง่าย เพราะร่างกายไม่ได้เผาผลาญ กระเพาะอาหารไม่ได้ทำงาน ส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมาเช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคหัวใจ เป็นต้น
5. มีอาการคนซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย วิตกกังวล การนอนมากๆ ทำให้ฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน โดยเฉพาะฮอร์โมนแห่งความสุขอย่างเซโรโทนิน(Serotonin) และ เอนดอร์ฟิน (Endorphin) ลดต่ำลง
6. อายุสั้น มีผลวิจัยที่พบกว่าการนอนนานเกิน 9 ชั่วโมงต่อวันเป็นประจำมีโอกาสเสียชีวิตเร็วกว่าผู้ที่นอน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน เพราะร่างกายไม่ได้ขยับเขยื้อน ไม่ได้เพิ่มออกซิเจนให้อวัยวะภายใน
7. เสี่ยงต่อการเกิดภาวะหยุดหายในเฉียบพลันหรือไหลตาย เนื่องจากสัญญาณสมองดับนานเกิดกว่าเวลานอนปกติของคนทั่วไป ส่งผลให้เนื้อสมองตาย

ปรับสมดุลการนอนลดการนอนเยอะและป้องกันโรคนอนเกิน

1. เข้านอนไม่เกิน 4 ทุ่ม เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง
2. เข้านอนให้เป็นเวลา กำหนดเวลาเข้านอนและตื่นนอนเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเพียงพอและพอดี (7-8 ชั่วโมงต่อวัน) หากตื่นนอนแล้วให้ลุกขึ้นจากเตียง ไม่นอนต่อ
2. เลี่ยงการนอนตอนกลางวัน หรืองีบหลับไม่เกิน 30 นาที เพราะจะส่งผลต่อการนอนในตอนกลางคืน
3. งดกาแฟ หรือน้ำอัดลมหลังเที่ยง เพราะคาเฟอีนที่อยู่ในเครื่องดื่มจะรบกวนการนอนในตอนกลางคืนได้
4. ผ่อนคลายก่อนนอน เช่น อ่านหนังสือเบาสมอง สวดมนต์ นั่งสมาธิ เพื่อให้สมองคลายกังวลคลายความเครียด ๆ
5. ไม่ใช้ยานอนหลับ เพราะการทานยานอนหลับจะทำให้ร่างกายคุ้นชินกับการทานยาทำให้ต้องทานต่อไปเรื่อย ๆ ส่งผลเสียต่อตับและระบบประสาท หากนอนไม่หลับควรปรับวิธีการนอนด้วยตัวเองจะดีที่สุด

หรือเสริมด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการนอนหลับ Becoplus ที่ช่วยปรับสมดุลการนอน สกัดจากสารสกัดธรรมชาติกว่า 12 ชนิด ไม่มีส่วนผสมของยานอนหลับหรือสารเคมีจึงมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ได้มาตรฐานอย. ทานได้อย่างต่อเนื่องและไม่ทำให้เกิดอาการติดยา ช่วยเพิ่มคุณภาพการนอนให้คุณนอนหลับได้ดียิ่งขึ้น หลับได้สนิทยิ่งขึ้น และหลับได้อย่างต่อเนื่อง ตื่นเช้าได้อย่างสดชื่นไม่ง่วงซึมระหว่างวัน นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างระบบความจำและสมาธิอีกด้วย

โรคนอนเกินป้องกันได้ มาปรับสมดุลการนอนด้วย Becoplus กันนะคะ

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Becoplus (บีโคพลัส) ตัวช่วยมาบำรุงสมอง เสริมความจำ ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรจากธรรมชาติมากถึง 11 ชนิด

- “พรมมิ” Bacopa monnieri
  “Bacopa monnieri” หรือที่ใคร ๆ รู้จักกันในชื่อของ พรมมิ สมุนไพรที่มีประวัติการนำมาใช้อย่างยาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน มีงานวิจัยออกมารองรับถึงสรรพคุณต่าง ๆ อย่างมากมาย ทั้งช่วยในเรื่องของสมาธิ เสริมความจำ ลดการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง บำรุงระบบประสาทไปจนถึงแก้ร้อนใน
- แอล-ธีอะนีน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ และเป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในชาเขียวและชาดำช่วยกระตุ้นการผลิตของคลื่นอัลฟ่า (α- wave) ในสมอง ทำให้สมองมีการปล่อยคลื่นอัลฟ่า (α- wave) มากขึ้น และลดการปล่อยคลื่นเบต้า (β-wave) ลง ซึ่งทำให้สมองเกิดการผ่อนคลาย และลดความเครียด
- “Tart Cherry Powder”
  – ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
  – ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
  – ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
  – ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
  – ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสขึ้น
- “Ginkgo Leaf”
  – ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  – ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
  – ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
  – ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน
  – อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพผิว
- “Lemon Balm”
  – ช่วยให้ผ่อนคลาย
  – ช่วยในการนอนหลับ
  – เสริมสร้างระบบความจำ
  – ปรับสมดุลความดันโลหิต
  – ขจัดความเหนื่อยล้า
- “Goji Berry”
  Goji Berry หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ เก๋ากี้ สมุนไพรแพทย์แผนจีนโบราณ ที่มีงานวิจัยออกมารองรับถึงสรรพคุณในด้านต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็น superfood เลยก็ว่าได้ โดยเก๋ากี้จะเด่นในเรื่องช่วงบำรุงสายตา ทำให้ดวงตาแจ่มใสขึ้น และประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย
- “Vitamin D”
  – ช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า
  – เพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อ
  – ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวาน
  – ช่วยชะลอวัยของผิว
  – ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก
- “Vitamin B2”
  – ช่วยป้องกันการเกิดไมเกรน
  – ทำให้ผิวหนัง เล็บ เส้นผมมีสุขภาพดี
  – ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของดวงตา
  – ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
  – ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
- “Vitamin B3”
  – ช่วยเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลัง และสร้างไขมันในร่างกาย
  – ช่วยการไหลเวียนของเลือด
  – ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน
  – ลดความดันโลหิต
  – ลดระดับคลอเรสเตอรอล
- “Vitamin B5”
  – ช่วยเรื่องการนอนหลับ
  – ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย
  – ช่วยผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
  – บรรเทาอาการข้ออักเสบ
  – ลดระดับคอเลสเตอรอล
- “Vitamin B6”
  – ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง
  – ช่วยชะลอวัย
  – ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  – ป้องกันโรคทางระบบประสาทและโรคผิวหนัง
  – ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น