ได้ยินมาบ่อยมากว่าอยากมีผิวดีก็ ดื่มน้ำ เยอะ ๆ สิ ผิวจะได้ชุ่มชื้น แต่เอ๊ะมันจะจริงอย่างที่เค้าว่ากันหรือเปล่านะ แล้วต้องดื่มแค่ไหนถึงเรียกว่าพอดีกับที่ร่างกายต้องการ ต้อง 8 แก้ว หรือ 3 ลิตร หรือยังไงเนี่ยงงไปหมดแล้ว มา ๆ มาดูคำตอบได้ที่นี่
น้ำ ส่วนประกอบสำคัญของร่างกาย โดยร่างกายจะมีน้ำทั้งหมด 60% และในชั้นผิวหนังประกอบด้วยน้ำถึง 64% นอกจากการบำรุงผิวด้วยวิธีอื่น ๆ แล้ว การดูแลตัวเองด้วยการดื่มน้ำให้เพียงพอกับที่ร่างกายต้องการก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยป้องกันร่างกายไม่ให้เกิดภาวะขาดน้ำ รวมถึงปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น ผิวแห้ง หยาบกร้าน หรือผิวขาดน้ำ เป็นต้น
ดื่มน้ำ ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น จริงหรือไม่?
เคยเจอชาเลนจ์ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตรไหมคะ มีหญิงชาวอังกฤษคนหนึ่งทดลองดื่มน้ำ 3 ลิตรเป็นเวลา 1 เดือน มีการถ่ายภาพก่อนและหลังการทดลองเพื่อนำมาเปรียบเทียบไว้ด้วย ซึ่งผลปรากฎว่าใบหน้าของเธอนั้นดูอ่อนเยาว์แลดูสุขภาพดีอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งก็มีหลาย ๆ คนได้ลองทำตามและพบว่ามีผิวพรรณที่ดีขึ้น ถ้าเช่นนั้นเราควรดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร เพื่อให้มีผิวที่ดีขึ้นใช่หรือไม่?
มีรายงานที่ศึกษาผลของการดื่มน้ำต่อผิวในระยะยาว พบว่าการดื่มน้ำไม่ได้มีผลต่อริ้วรอยหรือความเรียบเนียนของผิว แต่อย่างไรก็ตามการดื่มน้ำให้เพียงพอนั้นช่วยรักษาสมดุลของร่างกาย รวมถึงช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน
ควรดื่มน้ำวันละเท่าไร
เราอาจเคยได้ยินว่าดื่มน้ำวันละ 8 แก้ว (แต่ก็เป็นแก้วขนาดไหน?) หรือดื่มน้ำวันละ 3 ลิตร (แต่มันจะมากเกินไปไหม?) การดื่มน้ำที่น้อยไปอาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำได้ แต่หากดื่มน้ำมากจนเกินไปก็ก่อให้เกิดโทษเช่นกัน เพราะอาจทำให้โซเดียมในเลือดเจือจางและเกิดภาวะปอดบวมเนื่องจากร่างกายพยายามปรับระดับโซเดียมในเลือดให้สมดุล
ที่จริงแล้วอาจไม่สามารถบอกได้ว่าแต่ละคนควรจะดื่มน้ำวันละเท่าไหร่ เพราะปริมาณการดื่มน้ำที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น เพศ อายุ สภาพร่างกาย สภาพแวดล้อม รวมถึงการใช้ชีวิต โดยปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวันสามารถแบ่งตามกลุ่มวัยได้ดังนี้ (นับรวมปริมาณน้ำที่ได้จากอาหาร หรือผักผลไม้ต่าง ๆ แล้ว)
-
- อายุ 4-8 ปี ประมาณ 1,200 มล.
- อายุ 9-13 ปี ประมาณ 1,600-1,900 มล.
- อายุ 14-18 ปี ประมาณ 1,900-2,600 มล.
- ผู้หญิงที่อายุ 19 ปีขึ้นไป ประมาณ 2,100 มล.
- ผู้ชายที่อายุ 19 ปีขึ้นไป ประมาณ 3,000 มล.
ดื่มน้ำตอนไหนดีนะ
การดื่มน้ำที่ถูกวิธีไม่ใช่การดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ แต่เป็นการจิบหรือดื่มน้ำระหว่างวันบ่อย ๆ ให้ได้ปริมาณที่เพียงพอ ใครที่ไม่รู้ว่าจะดื่มน้ำตอนไหนดีเราแบ่งเวลาการดื่มน้ำที่เหมาะสมมาให้แล้ว
-
- ช่วงเวลา 5:00 – 08:00 น.
ช่วงเวลาหลังจากตื่นนอนที่เลือดมีความเข้มข้นสูง หรือเลือดมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากการนอน หรือขาดน้ำเป็นเวลานาน และยังช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย - ช่วงเวลา 9:00 – 10.00 น.
เป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มทำงานเต็มที่และมีการขับของเสียเกิดขึ้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อขับของเสียออกจากร่างกาย ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ทำให้กระเพาะย่อยอาหารสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ลดโอกาสการเกิดภาวะกรดไหลย้อน - ช่วงเวลา 13:00 – 16.00 น.
ภาวะขาดน้ำทำให้รู้สึกง่วงนอน หากดื่มน้ำในช่วงเวลาดื่มน้ำนี้จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นและลดความร้อนในร่างกาย ดับกระหายและช่วยทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้นได้ ใครที่ต้องทำงานในห้องแอร์ การดื่มน้ำในช่วงเวลานี้ถือว่าสำคัญมาก ๆ - ช่วงเวลา 17:00 – 20:00 น.
เป็นเวลาที่ระบบย่อยอาหารทำงานเต็มที่ และก่อนนอนควรดื่มอีก 1 แก้ว (ก่อนเข้านอน 1 ชั่วโมง) เพื่อลดความดันโลหิต และกระตุ้นให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดี รวมถึงช่วยชำระล้างสิ่งที่ตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร การดื่มน้ำในช่วงเวลานี้จึงเป็นอีกเคล็ดลับทำให้ผิวสวยและดูสุขภาพดี
- ช่วงเวลา 5:00 – 08:00 น.
เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแบบคูณสองด้วย NADE’ Collagen
นอกจากการดื่มน้ำเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวแล้ว ยังสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวและบำรุงผิวให้สวยจากภายในด้วยคอลลาเจนและสารสกัดพรีเมียมที่อยู่ใน NADE’ Marine Collagen+Dipeptide คอลลาเจนแบบชง และ NADE’ Collagen Jelly คอลลาเจนแบบเจลลี่พร้อมทาน ที่มีปริมาณคอลลาเจนรวม 10,000 มิลลิกรัมต่อซองมาพร้อมสารสกัดที่ช่วยดูแลผิวอย่างล้ำลึก ให้คุณมีผิวสุขภาพดี ชุ่มชื้น อิ่มน้ำ ไม่แห้งกร้าน
NADE’ Marine Collagen+Dipeptide
ให้มากกว่าผิวสวยด้วยนวัตกรรมชะลอวัยลึกถึงระดับเซลล์
-
- คอลลาเจนไดเปปไทด์ : ดูดซึมได้ดีที่สุด ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น เรียบเนียน ลดการเกิดริ้วรอย
- มารีนคอลลาเจน : ลดเลือนริ้วรอย เสริมสร้างความแข็งแรงให้ผิว ฟื้นฟูสภาพผิวที่แห้งกร้าน ช่วยให้ผิวกระชับเต่งตึง ดูอ่อนกว่าวัย ปรับผิวให้กระจ่างใส กักเก็บน้ำและให้ความนุ่มชุ่มชื้นแก่ชั้นผิว
- คอลลาเจนไตรเปปไทด์ : ช่วยซ่อมแซมและเติมเต็มคอลลาเจนในผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
- L-Glutathione : ต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างคอลลาเจน ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ปรับสีผิวให้กระจ่างใส
- Coenzyme Q10 : เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ลดริ้วรอย ช่วยให้ผิวอิ่มฟู เสริมสร้างเซลล์ผิวพรรณใหม่และฟื้นฟูเซลล์ผิวพรรณเดิม
- Astragalus Extract : ชะลอการหดสั้นของ Telomere ที่เป็นสาเหตุของความแก่ชรา
- Sea Buckthorn Powder : ดูแลและซ่อมแซมเซลล์ผิว ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งสดใส เนียนนุ่มไม่แห้งกร้าน ลดการแก่ก่อนวัยของเซลล์ผิว
- Ascorbic Acid : เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้ชั้นผิว ลดริ้วรอย ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เพิ่มการการดูดซึมคอลลาเจนให้ดียิ่งขึ้น
- Glycine : ช่วยกักเก็บน้ำในเซลล์ผิวและรักษาความยืดหยุ่นให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
- Pine Bark Extract : ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มคอลลาเจน และอิลาสตินในผิว ลดเลือนริ้วรอยลึกให้ตื้นและเรียบเนียนขึ้น
- Grape Extract : ยังยั้งการทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว ช่วยลดริ้วรอยและลดปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ
- Turmeric Extract : ช่วยลดและต้านการเกิดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
- Rice Extract : ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกักเก็บน้ำหล่อเลี้ยงผิว
- Riboflavin : ช่วยให้ผิวเปล่งปลั่ง สุขภาพดี
- Copper Gluconate : ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้เซลล์ผิวได้รับการฟื้นฟู
ผิวกระจ่างใส ไร้สิว ปกป้องผิวจากแสงแดด
-
- คอลลาเจนไดเปปไทด์ : ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ให้ผิวอิ่มน้ำ ชุ่มชื้น เรียบเนียน ลดการเกิดริ้วรอย
- คอลลาเจนไตรเปปไทด์ : ช่วยซ่อมแซมและเติมเต็มคอลลาเจนในผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
- Ascorbic Acid : เพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นให้ชั้นผิว ลดริ้วรอย ช่วยให้ผิวกระจ่างใส เพิ่มการการดูดซึมคอลลาเจนให้ดียิ่งขึ้น
- L-Glutathione : เสริมสร้างคอลลาเจน ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัย ปรับสีผิวให้กระจ่างใส
- Astaxanthin : สุดยอดสารต้านอนุมูลอิสระ คงความอ่อนเยาว์ให้ผิวพรรณ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการเกิดริ้วรอยก่อนวัย
- Licorice Extract : ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอยและจุดด่างดำ
- Melon Extract : ต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว
- Gac Extract : ป้องกันการเกิดริ้วรอย และผิวแห้งกร้าน
- Grape Extract : ต้านอนุมูลอิสระ ยังยั้งการทำลายคอลลาเจนในชั้นผิว ป้องกันผิวเสื่อมสภาพ และริ้วรอยก่อนวัย ช่วยลดปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ