8 เคล็ดลับ”ตื่นเช้า”อย่างสดชื่น พร้อมลุยวันใหม่อย่างสดใส
“ตื่นเช้า” ยังไงให้ไหว กว่าจะลุกจากเตียงได้เรียกว่าต้องฝีนกันแบบสุด ๆ มา!วันนี้เรามีเคล็ดลับที่จะเปลี่ยนทุกเช้าให้มีแต่ความสดชื่น พร้อมลุยวันใหม่อย่างสดใสมาฝากกัน
“ตื่นเช้า”ดียังไง?
หลาย ๆ คนที่ชอบตื่นสาย อาจจะไม่รู้ว่าการตื่นเช้ามันดียังไง เรามาลองดูข้อดีของการตื่นเช้ากันว่ามีอะไรบ้าง เชื่อเถอะว่าคุ้มค่าแน่นอน
- มีเวลาเพิ่มขึ้น
ใครที่ตื่นสายจะรู้สึกว่าวัน ๆ นึงผ่านไปเร็วจริง แต่อยากให้ลองตื่นเช้าดูแล้วคุณจะรู้ว่าที่จริงแล้วในหนึ่งวันเราสามารถทำอะไรได้หลายอย่างเลย หรือแม้แต่เช้าวันทำงาน หากเพียงตื่นเร็วกว่าเดิมอีกซักหน่อยอาจจะมีเวลาได้ออกกำลังกาย เยียวยาความเหนื่อยล้จากการทำงานได้ - สัมผัสอากาศยามเช้า
แสงอาทิตย์ยามเช้าช่วยผ่อนคลายความเครียด ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนให้เรารู้สึกสดชื่น ไม่เฉื่อยช้าหรืองัวเงีย - มีเวลาวางแผนตารางชีวิต
การวางแผนนั้นเป็นเรื่องที่ดี ยิ่งถ้าเราได้วางแผนก่อนเริ่มใช้ชีวิตในแต่ละวันว่าวันนี้จะต้องทำอะไรก็จะทำให้เรามีเป้าหมายในแต่ละวัน และหากต้องเดินทางไปหลาย ๆ ที่เราจะสามารถจัดสรรเวลาและเส้นทางการเดินทางได้ดียิ่งขึ้น - ทานมื้อเช้า
อาหารเช้ามื้อสำคัญของวันที่ไม่ควรงด เพราะการรับประมานอาหารเช้าจะช่วยให้ร่างกายรับรู้ถึงความอิ่มไม่รู้สึกหิวไปทั้งวัน และไม่มีความอยากอาหารรุนแรง ในตอนบ่ายและเย็น ที่สำคัญควรรับประทานมื้อเช้าให้ครบ 5 หมู่ - น้ำหนักลดลง
ต่อเนื่องจากข้อที่ 4 เพราะการทานมื้อเช้าลดอาการหิวและความอยากอาหาร จึงช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น ไม่อ้วนง่าย ช่วยเผาพลาญแคลอรี่ได้ดีขึ้น และการตื่นเช้ายังจะทำให้เราขับถ่ายเป็นเวลาด้วย - ผิวพรรณสดใส
การเข้านอนเร็วและตื่นเช้า ช่วยให้ผิวพรรณสดใสขึ้น โดยเฉพาะอาการใต้ตาบวม หรือริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าจะดูดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเวลาที่คุณนอนดึกตื่นสายติดต่อกันหลาย ๆ วัน - ลดความเสี่ยงโรคซึมเศร้า
ผลการวิจัยพบว่า คนที่เข้านอนเร็วและตื่นเช้ามีอัตราความเสี่ยงความเป็นโรคซึมเศร้าน้อย ด้วยเหตุผลที่ว่าเมื่อร่างกายได้รับการพักผ่อนที่เพียงพอ ระบบต่าง ๆ ทำงานตามรอบเวลาที่นาฬิกาชีวิตกำหนดมาได้เป็นอย่างดี สุขภาพจิตและกายจะแข็งแรง จึงมีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้น้อยถึงน้อยมากที่สุด
8 เคล็ดลับ”ตื่นเช้า”อย่างสดชื่น
การตื่นเช้าจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเพราะเราได้คัด 8 เคล็ดลับตื่นเช้าอย่างสดชื่นที่จะทำให้ทุกเช้าของคุณเป็นเช้าที่สดใสมากฝากกัน
- ให้แสงแดดช่วยเพิ่มความสดชื่น
ไม่มีอะไรดีไปกว่าให้แสงแดดยามเช้าช่วยปลุกคุณจากการนอน เพียงเปิดม่านไว้เล็กน้อยก่อนเข้านอนเพื่อให้ตอนเช้ามีแสงส่องเข้ามา ความสว่างนี้เองจะทำให้คุณตื่นได้โดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก ซึ่งแสงแดดอ่อนๆ ในตอนเช้าจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและผลิตสารที่ทำให้อารมณ์แจ่มใส เซโรโทนิน (Serotonin) รวมถึงสารสื่อประสาทที่สร้างความสุขและทำให้อารมณ์ดีอย่าง เอ็นโดรฟิน (Endorphine) - ปิดไฟและอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนนอน ปกติแล้วในร่างกายของเราจะมีฮอร์โมนที่ชื่อว่าเมลาโทนิน (Melatonin) ที่ช่วยให้เรารู้สึกง่วงนอน โดยฮอร์โมนชนิดนี้จะทำงานได้ดีในที่มืด ดังนั้นหากมีการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่เกิดแสงสว่างก็จะไปรบกวนการทำงานของเมลาโทนิน ซึ่งส่งผลให้นอนหลับยากได้ดังนั้นก่อนนอน 30 นาที ให้ปิดอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในห้องให้เรียบร้อย จะช่วยให้การนอนหลับมีคุณภาพมากขึ้น และทำให้ไม่งัวเงียตอนเช้า เพราะได้นอนหลับสนิทเต็มอิ่มมาแล้วทั้งคืน
- ดื่มน้ำหลังตื่นนอนทันที
การดื่มน้ำ 1 แก้ว หลังการตื่นนอนทันทีช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและรู้สึกปลอดโปร่ง เหมือนกับการเติมพลังให้กับสมองของเรานั้นทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แถมยังช่วยเรื่องการขับถ่าย และทำให้ผิวพรรณของเราสดใสได้อีกด้วย - เลือกเสียงนาฬิกาปลุกที่ใช่
การเลือกเสียงนาฬิกาปลุกที่เหมาะสมก็มีผลต่อการตื่นนอนของเราเช่นกัน หลายคนอาจคิดว่าการเลือกใช้เสียงนาฬิกาปลุกแบบจังหวะเร็ว ๆ จะช่วยให้ตื่นนอนได้ง่าย แต่ความจริงแล้วเสียงนาฬิกาปลุกที่ดีคือเสียงของธรรมชาติ เช่น เสียงน้ำตก หรือเสียงนกร้องที่จะช่วยให้อารมณ์ตอนเช้าสดใสและรู้สึกกระชุ่มกระชวย ต่างกับเสียงนาฬิกาปลุกจังหวะเร็ว ๆ ที่รีบเร่งให้ต้องตื่น - ไม่เลื่อนการปลุก
นอกจากการเลือกเสียงนาฬิกาปลุกที่ใช่แล้วก็ต้องไม่เลื่อนเวลาปลุกด้วยนะ เพราะการเลื่อนเวลาปลุกไปเรื่อย ๆ จะทำให้ง่วง ยิ่งงัวเงียและไม่สดชื่นเมื่อตื่นนอน ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกเมื่อไหร่ให้ตื่นทันที อาจจะยังไม่ต้องลุกจากเตียงแค่ลืมตาตื่นขึ้นมาก่อนแล้วจึงค่อยขยับร่างกาย ยืนแขน ยืดขา และลองหายใจเข้า-ออกลึก ๆ 5-10 ครั้ง เพื่อให้สมองได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่และทำให้ร่างกายตื่นตัวมากยิ่งขึ้น - ปรับพฤติกรรมการนอน
เวลาที่เหมาะสมกับการนอนคือช่วงเวลา 21.00-23.00 น. เป็นช่วงที่ร่างกายต้องการความอบอุ่นและเป็นช่วงเวลาที่อวัยวะภายในพร้อมปรับสมดุลในร่างกาย อุณภูมิในร่างกายจะค่อย ๆ ลดลง เวลานี้จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมในการนอนหลับที่สุดแต่หากนอนหลังจาก 23.00 น. ไปแล้ว ร่างกายจะไม่ได้ถูกปรับสมดุลใด ๆ แม้ว่าจะนอนครบ 8 ชั่วโมงแล้วก็ตามเพราะอวัยวะในร่างกายมีเวลาทำงานและพักผ่อนต่างกันไป การนอนแบบนี้จึงไม่เกิดผลดีต่อร่างกายแต่อย่างใด - หาแรงจูงใจในการตื่นนอน
การมีแรงจูงใจในการทำสิ่งใด ๆ มักจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเสมอ แต่หากการตื่นนอนของคุณมีแค่การตื่นเช้าไปทำงานอาจทำให้การตื่นนอนเป็นเรื่องยาก ให้ลองตั้งเป้าหมายสิ่งที่อยากทำในวันพรุ่งนี้เพื่อให้เกิดความกระตือรือร้นและทำให้ตื่นเช้าได้ง่ายขึ้น - นอนหลับอย่างมีคุณภาพ
สิ่งที่ทำให้การตื่นเช้าเป็นเรื่องยากนั่นก็คือการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบได้อยู่บ่อยครั้ง เช่น นอนไม่หลับ นอนหลับไม่สนิท หลับไม่ลึก หลับไม่ต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อตื่นนอนก็จะรู้สึกไม่สดชื่น หน้าตาอิดโรยเหมือนไม้ได้นอน หรือปวดศีรษะ ดังนั้นก่อนนอนควรผ่อนคลายร่างกายและจิตใจเพื่อให้สามารถนอนหลับได้สนิทมากขึ้น โดยอาจออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นการทำงานของปอดและหัวใจ แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรออกกำลังกายก่อยนอนเพราะจะทำให้ยิ่งนอนหลับยาก หรือลองสวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรมมะ ฟังเสียงธรรมชาติ หรือ ASMR ก็ช่วยให้นอนหลับได้ง่ายขึ้น
ปรับสมดุลการนอนเพื่อให้ทุกเช้าเป็นเช้าที่สดใสด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Becoplus
อาการง่วงเพลียหลังตื่นนอน ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ มาปรับการนอนหลับให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Becoplus (บีโคพลัส) ที่ช่วยปรับสมดุลการนอน ทำให้คุณนอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้น รวมถึงช่วยบำรุงสมองและร่างกาย ให้คุณได้พักผ่อนอย่างเต็มอิ่ม ตื่นเช้าได้อย่างสดชื่น ไม่ง่วงซึมระหว่างวัน ทานเพียงวันละ 1 แคปซูลก่อนนอน แล้วทุกเช้าของคุณจะเปลี่ยนไป
Becoplus ประโยชน์อัดแน่นใน 1 แคปซูล
-
- บำรุงระบบประสาทและสมอง
- ช่วยให้หลับสนิทยิ่งขึ้น หลับลึก หลับง่ายกว่าที่เคย
- ป้องกันการเกิดอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ
- เสริมความจำ บำรุงสมองขณะนอนหลับ
- จดจำให้ดียิ่งขึ้น
- เสริมสร้างสมาธิ
- ผ่อนคลายความเครียด
- ช่วยบำรุงให้ร่างการแข็งแรง
- สารสกัดจากธรรมชาติ 100%
- ลดอาการปวดไมเกรน