เป็นกันไหมคะ เวลาอ่านหนังสือเตรียมสอบทีไร อ่านเท่าไหร่ก็ไม่จำสักที มาดูเคล็ดลับ จำแม่น ที่วันนี้เรานำมาบอกทุกคนกันดีกว่า
รู้ว่าตัวเองอ่านหนังสือตอนไหนดี จำแม่น ที่สุด
อ่านเวลาไหนแล้วจำแม่น เข้าใจได้เร็ว เพราะนอกจากจะช่วยทำให้เราเข้าใจกับเนื้อหาที่อ่านไปแล้ว ยังทำให้เราไม่ต้องใช้พลังสมองเยอะเกินไป แถมยังได้มีเวลาในการผ่อนคลายอีกด้วย ใครยังไม่รู้จะเลือกช่วงไหนดีมาดูข้อมูลด้านล่างนี้เลย
อ่านตอนเช้า
เคยได้ยินว่าอ่านหนังสือช่วยเช้า ๆ จะช่วยให้จำแม่นก็เพราะว่าตอนเช้าเป็นช่วงที่สมองปลอดโปร่ง เนื่องจากสมองของเราได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืนแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมาสมองเลยตื่นตัวและสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ ทำให้การจำมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญแสงในตอนเช้าก็เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือมากกว่าตอนกลางคืน เพราะเป็นแสงจากธรรมชาติ สว่างกำลังพอดี ไม่รบกวนสายตา และไม่ส่งผลเสียต่อการอ่านหนังสือในระยะยาว
อ่านตอนกลางคืน
หรือหากใครตื่นเช้าไม่ไหวสะดวกอ่านหนังสือก็ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะการอ่านหนังสือตอนกลางคืนก็มีข้อดีเหมือนกัน เนื่องจากตอนกลางคืนเป็นเวลาที่เงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดมารบกวน ทำให้เรามีสมาธิและสามารถจดจ่อกับการอ่านหนังสือได้มากขึ้น นอกจากนี้การอ่านหนังสือก่อนเข้านอนยังช่วยให้เราสามารถจดจำเนื้อหาได้ดีขึ้นอีกด้วยเพราะช่วงก่อนนอนสมองเราจะสามารถเก็บความทรงจำได้มากที่สุด และเมื่อเราเข้านอนสมองก็ไม่ได้รับข้อมูลเพิ่มเติมอีกทำให้เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วสามารถจดจำข้อมูลได้นั่นเอง
อ่านออกเสียง หรืออ่านไปพร้อม ๆ กับพูดไปด้วยช่วย จำแม่น
ให้ลองอ่านออกเสียงหรืออ่านที่เหมือนคุยกับตัวเองไปพร้อม ๆ กัน พร้อมทำความเข้าใจในแต่ละบทไปพร้อมกันเลยช่วยให้จำแม่น
มีผลการศึกษาวิจัยจาก University of Waterloo ประเทศแคนาดา พบว่าการอ่านออกเสียง ช่วยให้การจดจำมีประสิทธิภาพมากกว่าการอ่านในใจหรือการฟังจากการอ่านออกเสียงของคนอื่น ดังนั้นหากเราพยายามที่จะจดจำอะไรสักอย่าง ควรอ่านออกเสียงจะได้ผลดีกว่า
โดยการศึกษาวิจัยนี้ได้ทำการทดสอบกับนักเรียน 95 คน โดยให้พวกเขาจำคำศัพท์ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้จากทั้งหมด 160 คำ ในการทดสอบมีหลากหลายรูปแบบ โดยครั้งแรกให้นักเรียนอ่านคำศัพท์โดยใช้ไมโครโฟน จากนั้นพวกเขาจะได้ยินคำศัพท์จากการบันทึกเสียงของตัวเอง หรือพวกเขาจะได้ยินคำศัพท์จากการบันทึกเสียงของคนอื่น หรือการอ่านคำศัพท์ในใจเงียบๆ หลังจากนั้นนักเรียนจะถูกทดสอบเพื่อวัดว่าจดจำคำศัพท์ได้มากน้อยแค่ไหน
ผลวิจัยชี้ว่านักเรียนจดจำคำศัพท์ได้มากขึ้น เมื่ออ่านออกเสียง และการฟังเสียงของตัวเองอาจช่วยให้การจดจำดีกว่าการได้ยินคำศัพท์จากเสียงของคนอื่น บางครั้งอาจเป็นเพราะคนเราจะจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้ดีขึ้นเมื่อสิ่งนั้นเกี่ยวข้องกับตัวเอง หรืออาจเป็นเพราะเราจะรู้สึกแปลก ๆ เมื่อได้ยินเสียงที่ตัวเองบันทึกไว้จนกลายเป็นความทรงจำที่สำคัญนั่นเอง
อ่านจบแล้ว ทำสรุปสั้น ๆ ไว้ ทวนง่าย จำแม่น ขึ้น
อาจจะทำสรุปหลาย ๆ ครั้ง ทั้งเขียน ทั้งวาดภาพประกอบเพราะยิ่งเราสามารถอ่านแล้วสรุปได้เรื่อย ๆ จะยิ่งทำให้เราจำแม่นขึ้น เพราะว่าถ้าจะทำสรุปได้ หมายความว่าเราต้องเข้าใจเนื้อหานั้นระดับนึง ไม่อย่างนั้นก็คงจะเขียนสรุปเป็นภาษาตัวเองไม่ได้ เมื่อเราเข้าใจมันจริง ๆ ในระดับที่เขียนออกมาได้ เราก็จะจำได้นานขึ้น อีกทั้งการทำสรุปนั้นยังทำให้เราสามารถกลับมาทบทวนได้ง่ายขึ้นโดยการอ่านสรุปตัวเอง ไม่ต้องอ่านจากหนังสือเล่มหนา ๆ
อ่านอย่างเดียวไม่พอ อยาก จำแม่น ต้องฝึกทำโจทย์ด้วย
การฝึกทำโจทย์ไม่ใช่เพียงแค่ฝึกทำเพื่อให้เราได้คุ้นชินกับโจทย์อย่างเดียว แต่มันยังเป็นการเพิ่มความรู้ เทคนิคการแก้ไขโจทย์ในแต่ละข้ออีกด้วย เพื่อเป็นการประเมินว่าอะไรที่เราจำได้ อะไรที่เรายังจำไม่ได้ เพราะถ้าอ่านไปเรื่อย ๆ จะไม่มีทางรู้ว่าขณะอ่านไปนั้นเราได้ลืมอะไรไปบ้าง จึงต้องมีการทำโจทย์เพื่อประเมินตัวเอง และการทำแบบนี้จะทำให้เราจำเนื้อหาได้ดีขึ้นจำได้แม่นขึ้นอีกด้วย
จะจำแม่นได้ไงถ้าติดโซเชียล
บางคนคิดว่าจะเล่นไม่นาน แต่รู้ตัวอีกทีก็พลายชั่วโมงแล้ว ทำให้มีเวลาอ่านหนังสือน้อยลง หรืออาจจะไม่ได้อ่านเลย ดังนั้นจึงควรวางแผนและไม่เล่นโซเชียลก่อนการอ่านหนังสือ หรือแบ่งเวลาเล่นและเวลาอ่าน เช่น เล่นโซเชียล 20 นาที ให้ตั้งนาฬิกาปลุกเลยว่าครบ 20 นาทีต้องหยุดเล่น ถ้าหากไม่กำหนดเวลาเราจะใช้เวลาไปเยอะกว่าที่คิดเป็นชั่วโมง
อย่าอ่านหนังสือจนถึงเช้า ถ้าอยากจำแม่น
นอกจากที่เราจะสอบแบบง่วง ๆ แล้ว บางคนยังมีอาการเบลอ เจอข้อสอบแล้วจำอะไรไม่ได้เลย เขียนก็ไม่ถูกไม่รู้จะตอบยังไง ดังนั้นควรที่จะนอนให้เต็มอิ่มในคืนก่อนไปสอบ เพราะสมองของคนเราต้องการพักผ่อนการหักโหมอ่านหนักเกินไป เมื่อพักผ่อนไม่เพียงพอจากที่เราจะสามารถจดจำเนื้อหาได้ กลายเป็นว่าวันรุ่งขึ้นจำอะไรจากการอ่านไม่ได้เลยและสมองจะล้าตอนทำข้อสอบอีกด้วย
อย่าลืมหาตัวช่วยมาบำรุงสมอง เสริมความจำอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Becoplus (บีโคพลัส) ที่มีส่วนผสมของสมุนไพรจากธรรมชาติมากถึง 11 ชนิด
-
- “พรมมิ” Bacopa monnieri
“Bacopa monnieri” หรือที่ใคร ๆ รู้จักกันในชื่อของ พรมมิ สมุนไพรที่มีประวัติการนำมาใช้อย่างยาวนานตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงปัจจุบัน มีงานวิจัยออกมารองรับถึงสรรพคุณต่าง ๆ อย่างมากมาย ทั้งช่วยในเรื่องของสมาธิ เสริมความจำ ลดการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในสมอง บำรุงระบบประสาทไปจนถึงแก้ร้อนใน - แอล-ธีอะนีน เป็นกรดอะมิโนที่ร่างกายมนุษย์ไม่สามารถผลิตขึ้นเองได้ และเป็นสารประกอบที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติในชาเขียวและชาดำช่วยกระตุ้นการผลิตของคลื่นอัลฟ่า (α- wave) ในสมอง ทำให้สมองมีการปล่อยคลื่นอัลฟ่า (α- wave) มากขึ้น และลดการปล่อยคลื่นเบต้า (β-wave) ลง ซึ่งทำให้สมองเกิดการผ่อนคลาย และลดความเครียด
- “Tart Cherry Powder”
– ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
– ช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้น
– ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น
– ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
– ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสขึ้น
- “พรมมิ” Bacopa monnieri
-
- “Ginkgo Leaf”
– ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
– ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันโรคอัลไซเมอร์
– ช่วยลดความเครียด และความซึมเศร้าได้
– ช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือน
– อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอการเสื่อมสภาพผิว
- “Ginkgo Leaf”
-
- “Lemon Balm”
– ช่วยให้ผ่อนคลาย
– ช่วยในการนอนหลับ
– เสริมสร้างระบบความจำ
– ปรับสมดุลความดันโลหิต
– ขจัดความเหนื่อยล้า
- “Lemon Balm”
-
- “Goji Berry”
Goji Berry หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ เก๋ากี้ สมุนไพรแพทย์แผนจีนโบราณ ที่มีงานวิจัยออกมารองรับถึงสรรพคุณในด้านต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็น superfood เลยก็ว่าได้ โดยเก๋ากี้จะเด่นในเรื่องช่วงบำรุงสายตา ทำให้ดวงตาแจ่มใสขึ้น และประโยชน์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย - “Vitamin D”
– ช่วยลดความเครียดและภาวะซึมเศร้า
– เพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อ
– ช่วยปรับสมดุลน้ำตาลในเลือดและป้องกันโรคเบาหวาน
– ช่วยชะลอวัยของผิว
– ป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูก
- “Goji Berry”
-
- “Vitamin B2”
– ช่วยป้องกันการเกิดไมเกรน
– ทำให้ผิวหนัง เล็บ เส้นผมมีสุขภาพดี
– ช่วยบรรเทาอาการอ่อนล้าของดวงตา
– ช่วยต้านอนุมูลอิสระ
– ช่วยในกระบวนการสร้างการเจริญเติบโตและสืบพันธุ์
- “Vitamin B2”
-
- “Vitamin B3”
– ช่วยเผาผลาญอาหาร ทำให้เกิดพลัง และสร้างไขมันในร่างกาย
– ช่วยการไหลเวียนของเลือด
– ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรน
– ลดความดันโลหิต
– ลดระดับคลอเรสเตอรอล
- “Vitamin B3”
-
- “Vitamin B5”
– ช่วยเรื่องการนอนหลับ
– ช่วยป้องกันอาการอ่อนเพลีย
– ช่วยผลิตฮอร์โมนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
– บรรเทาอาการข้ออักเสบ
– ลดระดับคอเลสเตอรอล
- “Vitamin B5”
-
- “Vitamin B6”
– ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรง
– ช่วยชะลอวัย
– ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
– ป้องกันโรคทางระบบประสาทและโรคผิวหนัง
– ช่วยให้ร่างกายดูดซึมโปรตีนและไขมันได้ดียิ่งขึ้น
- “Vitamin B6”
Becoplus (บีโคพลัส) เหมาะกับใครบ้าง
ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Becoplus สกัดจากสมุนไพรและธรรมชาติ มั่นใจได้ในคุณภาพมาตรฐาน อย. เหมาะมากสำหรับ
-
- วัยเรียน ที่ใช้สมองหนัก ใช้ความจำเยอะ ไม่ค่อยมีสมาธิและต้องการนอนหลับให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงและมีภูมิคุ้มกันที่ดี
- วัยทำงาน ที่ต้องทำงานหนัก เครียด นั่งหน้าจอทั้งวัน และยังต้องคอยอัพเดตโซเชียล ให้ไม่ตกเทรนด์อยู่ตลอดเวลา
- ผู้สูงอายุ ที่เริ่มมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ นอนหลับยาก นอนหลับไม่สนิท ตื่นกลางดึกบ่อย นอนหลับลึกได้น้องลง
ไม่ว่าวัยเรียน วัยทำงาน หรือผู้สูงวัย ก็สามารถทาน Becoplus เสริมได้ เพื่อช่วยบำรุงระบบประสาทให้แข็งแรง เพียงวันละ 1 เม็ดก่อนนอน Becoplus พลัสคุณเป็นคนใหม่ สมองไบร์ทกว่าที่เคย